วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ออสเตรเลีย

วัฒนธรรมการกินออสเตรเลีย
อาหารท้องถิ่น

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรม การกินของชาวออสเตรเลียนอย่างแท้จริง แนะนำให้ไปลองชิม อาหารพื้นเมืองออสเตรเลียขนานแท้ ได้แก่ Shepherd Pie หรือจะเป็นอาหารจานโปรดของชาวออสซี่ เช่น Vegemite ถ้าเอ่ยถึงของหวานก็จะเป็น Lamington หรือ Lemmington ขนมหวานออสเตรเลียนที่ใครได้ลองเป็นต้องติดใจไปทุกราย ซึ่งนิยมทานกับน้ำชาหรือกาแฟยามบ่าย ทั้งหมดนี้ ท่านสามารถลิ้มลองได้จากร้านอาหารของโรงแรมในออสเตรเลีย ที่ท่านไปพักค่ะ นอกจากนี้ ในออสเตรเลียยังมีภัตตาคาร และร้านอาหารไทยอยู่มากมายตามเมืองต่างๆค่ะ เพราะมีชาวไทยไปเรียน และไปทำงานกันมาก ดังนั้น นักท่องเที่ยวไม่ต้องกลัวว่าจะหาทานอาหารรสชาติที่คุ้นเคย ที่นั่นไม่ได้นะคะ

บรูไน

วัฒนธรรมการกินบรูไน

 
อัมบูยัต(Ambuyat)
                             มีลักษณะเด่นคือ เหนียวข้นคล้ายข้าวต้มหรือโจ๊ก ไม่มีรสชาติ มีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก 
                            วิธีทาน
                             จะใช้แท่งไม้ไผ่ 2 ขาซึ่งเรียกว่า chandas ม้วนแป้งรอบ ๆ แล้วจุ่มในซอสผลไม้เปรี้ยวที่เรียกว่า cacah
                หรือซอสที่เรียกว่า cencalu    ซึ่งทำจากกะปิทานคู่กับเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น เนื้อห่อใบตองย่าง เนื้อทอด

                เป็นต้น การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติต้องทานร้อน ๆ และกลืน โดยไม่ต้องเคี้ยว 

เยอรมัน

 วัฒนธรรมการกินเยอรมัน
คงไม่มีประเทศไหน ที่เหมาะสำหรับการชิมอาหารมากไปกว่าประเทศไทยแล้ว รู้กันดีว่าคนไทยพิถีพิถัน ในการเลือกรับประทานอาหาร ถ้าคนไทยยอมรับ แสดงว่าอาหารนั้นต้องอร่อยจริง
หนึ่ง ในนั้น ที่คนไทยยอมรับ ติดใจในรสชาด คืออาหารเยอรมัน ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ต่าง ชื่นชอบ ที่ไหนก็ตามที่มีไส้กรอกเยอรมัน และ มันบดขาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าโรงเรียน ถนนคนเดิน มักจะมีคิวรอยาวเหยียด แม้กระทั่งร้านอาหารไทยบางร้านไส้กรอกเยอรมัน และขาหมู จัดว่าเป็นอาหารขายดี นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารเยอรมันในเชียงใหม่ที่ประสบความสำเร็จ เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าอาหารเยอรมัน เป็นที่ยอมรับของนักกินชาวไทย ดังเช่น จี แอนด์ เอ็ม ซอสเซ็จ ที่ดอยสะเก็ด ถึงแม้จะค่อนข้างไกล และ หายาก (ติดตามบทสัมภาษณ์ในหน้า )
อะไรในอาหารเยอรมัน ที่ทำให้คนไทยชื่นชอบ เมนูอะไรที่คนชื่นชอบ กันเป็นพิเศษ ดังนั้น เราจึงได้ไปพูดคุยกับเจ้าของกิจการที่เปิดขายอาหารเยอรมันในเชียงใหม่ และสอบถามความคิดเห็นของเขาเหล่านั้น คุณโอลาฟ จาก
ท่าแพเกท ลอร์จ (หน้า 22) คุณอูโด้ จาก เอ้าฟ แด เอา (หน้า 27) และคุณกึนเตอะ จาก จี แอนด์ เอ็ม ซอสเซ็ท ทั้งสามร้าน บริการอาหารเยอรมันแบบดั้งเดิม รสชาดอร่อย แคลลอรี่ค่อนข้างสูง นอก
จากท่าแพเกท ลอร์จเท่านั้นที่มีทั้ง
อาหารมื้อหนัก หรือ จะอิ่มแบบสบายๆพอดีๆ แบบ อาหารเยอรมันสมัยใหม่
ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละท่านที่กล่าวมาค่อนข้างจะคล้ายๆกัน ทำให้ทราบว่า เพราะอะไรคนไทยส่วนมากถึงได้ โปรดปรานอาหารเยอรมัน และต่อไปนี้เป็นบททสรุปที่ ได้มาจากการสนทนาของเรา
ทำไมคนไทยชอบอาหารเยอรมัน
คนไทยหลายๆคนชอบอาหารเยอรมัน เช่นเดียวกับคนตะวันตกชอบอาหารไทยเพราะความแปลกใหม่ รูปลักษณ์ที่พิเศษ อาหารที่อุดมไปด้วยรสชาด มากด้วยปริมาณของเนื้อ เสริฟแบบจานใหญ่ๆให้คุ้มกับเงิน


มีหลายๆอย่างที่คล้ายกับอาหารไทย อย่างเช่น อาหารหลักของเยอรมันไส้กรอก ขาหมู ซาวเออร์คร้าวท์ ซึ่งคล้ายคลึงกับผักดองไทย ที่คนไทยเคยชินกันบ้างแล้ว ดังนั้นไม่ยากเลยที่จะฝึกระดับการรับประทานอาหารเยอรมันให้เป็นแบบฉบับเยอรมันขนานแท้
อาหารหลักยอดนิยม
Pork Knuckle (Schweinshaxe): ขาหมู ชไวนส์ฮักส์ซ
อาหารที่นิยมที่สุด กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟกับกะหล่ำปลีดอง มันฝรั่งผัดและมัสตาร์ด

Fried Sausage (Bratwurst) – ไส้กรอกเยอรมัน บราตวรุสต์
ทอดหรือย่าง เสิร์ฟ กับกะหล่ำปลีดอง มันฝรั่งผัด และมัสตาร์ด

Curry Sausage (Curry Wurst) - ไส้กรอกเยอรมัน ผงกะหรี่ เคอรี่ วรุสต์
ย่างกับเครื่องปรุง ซอสมะเขือเทศ ผงกะหรี่ต่างๆ เสิร์ฟ กับเฟร้น ฟรายส์ ของขบเคี้ยวสูตรเบอร์ลิน



เครื่องเคียงยอดนิยม
Sauerkraut ซาวเออร์คร้าวท์
กะหล่ำปลีหั่นฝอยดอง สูตรคลาสสิกเคียงขาหมู และไส้กรอก

Mashed potatoes (Kartoffelbrei) –มันฝรั่งบด คาร์ท็อฟเฟลบราย เป็นอีกหนึ่งยอดนิยมของเครื่องเคียง เหมือนกะกล่ำปลีดอง
Roasted Potatoes (Bratkartoffel) –มันฝรั่งผัด บราตคาร์ท็อฟเฟล มันฝรั่งซอยผัดด้วยหัวหอม และเบค่อน นิยมรับประทานกับไส้กรอกบราตวรุสต์และ เคอรี่ วรุสต์

Potato Salad – สลัดมันฝรั่ง มันฝรั่งหั่นในซอสครีม หรือซอสมายองเนสเสิร์ฟพร้อมกับไส้กรอก
การรับประทานอาหารเยอรมันแบบต้นตำหรับต้องรับประทานพร้อมกับเบียร์ เบียร์เยอรมันนั้นราคาสูงแต่ถ้าราคาไม่ใช่ประเด็น เราขอแนะนำเบียร์จากข้าวสาลี (ไวเซ่นเบียร์) อาทิเช่น เอร์ดิงเกอร์ หรือไวเฮนสเตฟาน หรือ เบียร์เยอรมัน ลาเกอร์ ตัวอย่างเช่น วาร์สไตเนอร์ บิทส์บูรเกอร์ เพาลาเนอร์ โอเคยกแก้ว! โพรสท์
ภาพพจน์ของประเทศเยอรมันนี คือดินแดนแห่งเบียร์ ไส้กรอก และผักดอง ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในเทศกาล อ๊อกโทเบอร์เฟส 

อินเดีย

วัฒนธรรมการกินอินเดีย

ในการรับประทานอาหารโดยทั่วไปคนอินเดียจะรับประทานด้วยมือ ไม่ใช้ช้อนส้อม แม้แต่อาหารประเภทน้ำ จำพวกแกงเผ็ด หรือซุบถั่วต่างๆ ก็เช่นกัน จะใช้แป้งขนมปัง เช่น นาน จาปาตี หรือโรตี ตักเข้าปากรับประทาน และการทานอาหารด้วยมือก็ถือว่าเป็นการรับประทานอาหารที่ได้รสชาติดีกว่าการใช้ช้อนส้อม  ถ้าเป็นแบบอินเดียดั้งเดิมจริงๆ ที่ปฏิบัติมาแต่โบราณจะใช้ใบตองแทนจาน รับประทานเสร็จก็โยนทิ้งให้สลายตัวในธรรมชาติได้เลย ไม่ต้องมีภาระล้างถ้วยจานชามมากมาย อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารจึงแทบไม่มีความจำเป็น ดังนั้นบนโต๊ะอาหารจะไม่มีอุปกรณ์อื่นๆ ให้ นอกเหนือจากถาดอาหาร ยกเว้นตามร้านอาหารทั่วไปก็อาจให้ช้อนมาด้วยแต่ซ่อมนี่ไม่มีแน่  ในการรับประทานอาหารด้วยมือต้องใช้มือขวาเพียงข้างเดียวเท่านั้น ซึ่งไม่ใช้เรื่องง่ายๆ เลย สำหรับคนที่ไม่เคยทานด้วยมือมาก่อน และคำว่ามือนี่ก็ไม่ได้หมายถึงทั้งมือ แต่หมายถึงแค่ปลายนิ้วเท่านั้นที่ใช้รวบอาหารแล้วกอบเข้าปาก การรับประทานแบบผู้ดีมีมารยาทของชาวอินเดียต้องไม่ให้มือเลอะเทอะ และจานอาหารต้องเกลี้ยงเกลาสะอาด มือข้างซ้ายนี่ห้ามใช้เลย เพราะถือว่าเป็นมือที่ใช้ชำระล้างในห้องน้ำ ไม่ควรเอามาใช้ในการรับประทานอาหาร แต่ในบางชุมชนก็ยอมรับให้คนที่ถนัดซ้ายใช้มือซ้ายในการรับประทานอาหารได้  ดังนั้นก่อนรับประทานอาหารจึงต้องล้างมือให้สะอาด และการรับประทานอาหารที่เป็นทางการต้องให้เกียรติเจ้าภาพหรือผู้อาวุโส รับประทานก่อน และต้องไม่ลุกจากที่นั่งแม้จะรับประทานเสร็จแล้ว จนกว่าเจ้าภาพหรือผู้อาวุโสจะทานเสร็จ อาจขอตัวลุกออกไปล้างมือได้ แต่ต้องรีบกลับมานั่งประจำที่โดยทันที  ส่วนใหญ่แล้วคนอินเดียนิยมรับประทานกับพื้น จึงต้องนั่งขัดสมาธิ หลังตรงเสมอ แต่ถ้านั่งบนโต๊ะอาหารต้องไม่เท้าศอกบนโต๊ะ และอย่ายกถ้วยหรือจานอาหารขึ้น ให้ใช้มือกอบอาหารเข้าปากเท่านั้น  การตักอาหารใส่จานให้ตักเท่าที่จะทานได้หมด และการหยิบอาหารทานแต่ละครั้งควรหยิบคำเล็กๆ เพื่อไม่ได้หกเลอะเทอะ ทั้งปากและฝ่ามือ และควรทานให้ได้จังหวะสม่ำเสมอ ถ้าทานช้าไปอาจเป็นการแสดงความนัยว่าอาหารไม่อร่อยถูกปาก หรือทานเร็วไปก็เป็นการไม่สุภาพเช่นกัน  และเจ้าภาพจะมีความสุขมากที่เห็นแขกทานอาหารที่บ้านได้เยอะ แสดงว่าอาหารอร่อย ถ้าทานหมดเร็วเขาก็จะรีบตักให้ใหม่ทันที และตักทีละเยอะๆ ด้วย ถ้าทานไม่หมดเป็นอันไม่ให้เกียรติเจ้าภาพอีก ดังนั้นต้องรักษาจังหวะให้ดี และหาทางออกที่สุภาพที่จะปฏิเสธโดยไม่ให้เขาเสียน้ำใจนึกว่าเราไม่ชอบอาหารของเขา  จริงๆ แล้วการรับประทานแบบคนอินเดียก็ไม่ได้ลำบากมากมาย เพียงแต่เราไม่คุ้นเคยกับการใช้มือข้างเดียวหยิบอาหารเข้าปาก พวกเราถนัดใช้ทั้งสองมือช่วยฉีกจับอาหารมากกว่า และบางทีไปทานตามร้านอาหารถูกโต๊ะรอบข้างเขามองเอาว่าทานกันอย่างไรให้เลอะเทอะทั้งสองมือ อันนี้พวกเราไม่ค่อยสนเท่าไหร่ เพราะเขาคงไม่รู้ว่าเรามาจากไหน แต่ถ้าไปทานตามบ้านเพื่อนก็อย่าให้เขาว่าเอาได้นะคะว่าเราไม่มีมารยาท ไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของเขา


สเปน

วัฒนธรรมการกินของชาวสเปน
ในมื้อเช้าของคนสเปนจะเน้นทานอาหารเบาๆ ไม่หนักมาก ซึ่งผู้ใหญ่ก็จะทานกาแฟ น้ำผลไม้ กับขนมปัง แต่ถ้าเด็กๆก็นิยมทานคอนแฟลกซ์กับนม หรือจะเป็นขนมปัง เบาๆสบายๆ  ส่วนมื้อกลางวันนั้น คนสเปนจะทานในช่วง 14.00-15.00 มื้อนี้ก็จะเป็นมื้อจัดหนักของชาวสเปนเลยหละคะ แต่ถ้าเป็นเด็กนักเรียนเขาจะมีเบรกก่อนมื้อเที่ยงด้วยคะ เป็นตอน 11 โมง เขาจะทานแซนวิสที่เตรียมมาจากบ้านคะ ส่วนอาหารกลางวันเขาก็จะอนุญาติให้กลับไปกินกันที่บ้านคะ และจะกลับมาเรียนอีกทีช่วงเวลา 15.30-17.00 น ส่วนใครที่บ้านไกล ไม่สะดวกทางโรงเรียนก็จะมีอาหารไวคอยบริการเช่นกัน ส่วนใหญ่อาหารกลางวันก็จะเป็นพวกแป้ง เนื้อสัตว์ ข้าว
ปิดท้ายด้วยมื้อเย็น เมื่อเราทานมื้อเที่ยงช้า มื้อเย็นก็ต้องเลื่อนไปด้วย ซึ่งมื้อเย็นของชาวสเปนก็จะทานกันช่วง 20.00-21.00 น อาหารมื้อนี้จะไม่ค่อยหนัก อย่างซุป ไข่เจียว  แต่ใช้เวลาในการบริโภคนาน เพราะเป็นช่วงที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ถามสารทุกข์สุขดิบกัน ส่วนใหญ่กว่าจะจบมื้อก็เวลา 22.00 เสร็จแล้วก็เข้านอนพอดี


ทั้งหมดนี้ก็คือวัฒนธรรมการกินของชาวสเปน ใครที่เดินทางไปเยี่ยมเยือน ก็อย่าลืมนะคะ เขาทานอาหารช้า ในช่วงแรกๆเราอาจจะไม่ชิน อีกสักพักก็คงชินไปเองแหละ

ฝรั่งเศส

วัฒนธรรมการกินชาวฝรั่งเศส
ว่าด้วย เรื่องอาหารการกิน(กาสโทรโนมิก มีล) ยูเนสโก ได้หมายถึง จารีตประเพณีที่ได้ออกแบบมาของสังคม เพื่อ การเฉลิมฉลองช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของบุคคลและกลุ่ม ผ่านศิลปะการกินและการดื่ม ที่ดี ใช้เวลาร่วมกันและเสริมสร้างมิตรภาพ ระหว่างคอร์สอาหารที่หลากหลาย มื้อแห่งความสุข ตั้งแต่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอาหาร, อาหารเรียกน้ำย่อย, อาหารจานหลัก, สลัด, ชีส, ขนมและไวน์ นั่นคือพิธีการรับประทานทั้งหมด ,ความลงตัวของอาหาร และไวน์ ลำดับการรับประทานอาหาร การจัดโต๊ะ การพูดคุย ซึ่งอาหารการกินแบบฝรั่งเศสนี้ เป็นสิ่งที่ยูเนสโก เล็งเห็นการอนุรักษ์เป็นมรดกทางวัฒนธรรม
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น สำหรับเรา ที่อาศัย ในจังหวัดเชียงใหม่ มี ร้านอาหารฝรั่งเศส ที่ตกแต่งหรูหรา นี่คงเป็นสาเหตุ ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าอาหารฝรั่งเศสเข้าถึงยาก ซึ่งทั้งคุณมาร์โค จากร้าน Chez Marco และคุณ ชอง จาก La Terrasse แสดงแง่คิดอีกมุมมอง ดูจากเมนูของพวกเขา สนนว่ามีราคาที่ความเหมาะสมและบ่อยๆบางรายการยังถูกกว่าอาหารอิตาเลี่ยน อาหารฝรั่งเศสใครๆก็รับประทานได้ และเงิน ไม่ใช่ปัญหา
ในความเป็นจริง ร้านอาหารฝรั่งเศสก็ มีอาหารอื่นๆไว้บริการเหมือนร้านทั่วๆไปเช่น สเต็ก เมนูทะเล สลัด ฯลฯ อะไร คืออาหารฝรั่งเศสแท้ บริบทของการรับประทานอาหารอย่างที่องค์กรยูเนสโกชี้ให้เห็นก็คือ การผสมผสานของอาหารแต่ละจาน และเครื่องดื่ม คือจุดสำคัญ

ดังนั้นอาหารฝรั่งเศสที่สมบูรณ์แบบประกอบด้วย?คุณ ชอง จาก La Terrasse ได้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงนิสัยการรับประทานอาหารแบบฝรั่งเศส
โดยทั่วไปจะเริ่มด้วย การดื่มเแอลกอฮอล์ก่อนอาหาร ตามด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยเช่นซุปผักและเนื้อสัตว์บด ปาเต (มีส่วนผสมของเนื้อ และไขมัน) หลังจากนั้นมาถึงอาหารจานหลักได้แก่ ปลาหรือเนื้อ หรือทั้งสองอย่างเสิร์ฟพร้อมสลัดผักเขียว อาหารจานหลักมีความหลากหลายและซับซ้อน ปรุงแต่ง โดยเชฟ สองเมนูที่คนนิยม คือ เบอฟฺ บัวร์กิงอน และ ค็อก โอ เวอน สตูว์เนื้อ และไก่ต้มในไวน์แดงส่วนเครื่องเคียงที่ต้องมีคือ มันฝรั่งบด หรือผัด และ ต้องเสิร์ฟขนมปังตลอด หลังจากอาหารจานหลักสิ่งที่ขาดไม่ได้คือชีส มีรายงานมาว่าฝรั่งเศสมีชีสมากกว่า 1000 ชนิด แต่ที่ได้รับความนิยม คือ คะมอมแบร์ อาจตามด้วยขนมหวาน ท้ายสุดนี้ ที่จะต้องกล่าวถึง เครืองดื่มที่คนฝรั่งเศสดื่มเวลารับประทานอาหาร คือน้ำเปล่า และไวน์เท่านั้น ไวน์ช่วยให้รับรู้รสชาดอาหารได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมีหลากหลายชนิด แต่เราสามารถเลือกดื่ม เฮาส์ไวน์ถือว่ารสชาดดีทีเดียว
เรื่อง ของอาหารฝรั่งเศสทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ เราเกือบลืมสาธยายลักษณะอันโดดเด่นของการรับประทานอาหารฝรั่งเศส คงเป็นในเรื่องความโรแมนติก ซึ่งคุณอาจต้องเก็บไว้ในใจเพื่อเป็นทางเลือก ในการมองหาสถานที่รับประทานอาหารในวันวาเลนไทน์ที่ใกล้จะถึง

อิตาลี

วัฒนธรรมการกินอิตาลี
รู้จัก อาหารอิตาเลี่ยน
เนื่องจากผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าชื่อไหนถูกตามหลักภาษาไทย ก็เลยขอเขียนมันทั้ง 3 ชื่อเลยละกัน ทั้ง อาหารอิตาเลี่ยน อาหารอิตาเลียน และอาหารอิตาลี วันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของอาหารอิตาเลียน ซึ่งเป็นอาหารที่คนไทยเองก็รู้จักกันดี และต้องเคยกินกันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า, มะกะโรนี, สปาเก๊ตตี้ เป็นต้น แต่สำหรับหัวข้อนี้จะนำพาผู้อ่านไปรู้จักตั้งแต่ประวัติของอาหาร, อาหารประจำถิ่น รวมถึงวิธีทำในแบบสไตล์อิตาเลียนกันอย่างแท้จริง
อาหารอิตาเลียนถูกพัฒนามาหลากหลายศตวรรษด้วยกัน ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามสังคมและการเมืองในแต่ละยุคแต่ละสมัย จนมาถึงปัจจุบัน จริง ๆ แล้วอาหารอิตาเลียนนั้นในหลาย ๆ เมนูเป็นอาหารที่ทำง่าย เตรียมวัตถุดิบไม่อยากนัก บางเมนูใช้วัตถุดิบเพียงแค่ 4-8 ชนิด ซึ่งหลักสำคัญของการทำอาหารอิตาเลียนนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพวัตถุดิบมากกว่าการปรุงอาหาร และด้วยประวัติของเมนูหลาย ๆ ชนิดที่ถูกคิดค้นจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ใช่เชฟ ทำให้อาหารอิตาเลียนเป็นอาหารที่เหมาะสมกับการทำเองที่บ้านเป็นอย่างมาก
วัตถุดิบหลักของอาหารอิตาเลียน

อาหารอิตาเลียนมีความหลากหลายแตกต่างกันแลวแต่การนำไปใช้ ซึ่งมีทั้งผลไม้, ผัก, ซอส, เนื้อ และอื่น ๆ ซึ่งในแถบทางเหนือของอิตาลี ปลาคอด, มันฝรั่ง, ข้าว, ข้าวโพด, ไส้กรอก, เนื้อหมู และชีส เป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาหาร
แถบทางเหนือของอิตาลี มีประเภทของพาสต้า โปเลนต้า หรือ ริช้อตโต้ ในหลาก หลายประเภท และมีความนิยมเท่า ๆ กัน เมืองลิกัวเรีย จะมีเมนูของปลาและอาหารทะเลค่อนข้างเยอะ ดังนั้นวัตถุดิบทั่วไปที่ใช้ ก็อาทิเช่น น้ำมันมะกอก, ถั่วเปลือกแข็ง และ โหระพา ส่วนทางเอมิเลีย-โรมันญ่า ก็จะพบวัตถุดิบประเภทแฮม, ไส้กรอก, ซาลามี่ เป็นส่วนใหญ่
สำหรับในแถบตอนกลางของประเทศอิตาลี มักจะใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่เป็น มะเขือเทศ, เนื้อ, ปลา และเปโกริโนชีส โดยพาสต้าในแถบทัสคานี่จะเสริฟพร้อมซอสมะเขือเทศกับพริก
ในแถบตอนใต้ของอิตาลี จะใช้มะเขือเทศสดหรือมะเขือเทศที่สุกแล้ว, พริกไทย, มะกอก, น้ำมันมะกอก, กระเทียม, อาร์ทิโชค, ส้ม, ริค้อตต้าชีส, มะเขือยาว, ซูชินี่ และปลาบางประเภท อาทิเช่น ปลาแองโชวี่, ปลาซาดีน และทูน่า นอกจากนี้ยังมีคาเปอร์ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารท้องถิ่นอีกด้วย
สำหรับอาหารอิตาเลียนที่รู้จักกันดีก็คือพาสต้า ซึ่งเมนูพาสต้าจะรวมถึงเส้นที่มีขนาดยาว, ขนาดกว้าง และรูปร่างอื่น ๆ ซึ่งรูปร่างต่าง ๆ ก็จะถูกเรียกต่าง ๆ กันไป อาทิเช่น เพนเน่, มะกะโรนี, สปาเก๊ตตี้, ลิงกวินี่, ฟูซิลี่, ลาซานญ่า และเมนูอื่น ๆ ซึ่งคำว่า พาสต้านั้นถูกนำมาใช้กันเมนูอาหารที่นำวัตถุดิบจำพวกพาสต้ามาเป็นวัตถุดิบหลักในจานและเสริฟด้วยซอสนั่นเอง

ญี่ปุ่น

วัฒนธรรมการกินญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังว่า ต้องรับประทานอาหารให้ครบทั้งจากภูเขาและท้องทะเลอาหารจากภูเขาคือ ผักตามฤดูกาล พืชธัญญาหาร ตลอดจนข้าวเมล็ดต่างๆส่วนอาหารจากท้องทะเลก็คือปลาทะเลต่างๆ สาหร่ายทะเล กุ้ง หอย ปู เป็นสำคัญ อาหารทะเลถือว่าเป็นอาหารแห่งชีวิตของชาวญี่ปุ่น แต่มีความสำคัญน้อยกว่าอาหารที่ผลิตจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ มิโสะ เต้าเจี้ยว และซอสต่างๆ ที่หมักจากถั่วเหลือง
     วิธีการทำอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ใช้วิธีนึ่ง ต้ม ทำให้อาหารคงรสชาติตามธรรมชาติมากที่สุด ข้าวจะเป็นอาหารหลักกับข้าวจึงปรุงมาจากอาหารทะเล ผักสดชนิดต่างๆเครื่องปรุงรส ซอสหรือซีอิ๊ว และอุปกรณ์ที่สำคัญ คือ ตะเกียบ อาหารญี่ปุ่นเมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกสะอาดปาก และสบายท้อง เป็นเพราะใช้ของสดใหม่จากภูเขาและท้องทะเล แหล่งที่มาของอาหารแมคโครไบโอติกส์ซึ่งบ้านเรารู้จักในชื่อของ อาหารชีวจิต
อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ มีดังนี้
ซูชิ( 寿司 sushi) 
     ซูชิ หรือ ข้าวปั้นมีหน้า เป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ข้าวมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และกินคู่กับปลา เนื้อ หรือ ของคาวชนิดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ซูชิมักจะหมายถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซูชิเมะชิ (寿司飯, ข้าวที่ผสมน้ำส้มสายชู) และมีหน้าแบบต่างๆเป็นหน้า ที่นิยมได้แก่ อาหารทะเล ผัก ไข่ เห็ด เนื้อที่นำมาใช้อาจจะเป็นเนื้อดิบ หรือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการทำอาหารแล้ว สำหรับในประเทศอื่น และซูชิส่วนใหญ่มักใส่วาซาบิ บนข้าวเพื่อให้ได้ความอร่อยมากยิ่งขึ้นซูชิ หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าว ซูชิมีวิวัฒนาการมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วซึ่งเกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น โดยซูชิ นิยมหมายถึง นิงิริซูชิ ที่เป็นข้าวมาอัดเป็นก้อนและมีเนื้อปลาวางบนด้านหน้าเท่านั้น
      
ประเภทของซูชิ
1.)นิงิริซูชิ (Nigiri Sushi) เป็นซูชิพบได้บ่อยในภัตตาคาร ซูชิจะมีลักษณะข้าวเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก ฯลฯ ไว้ข้างบน อาจจะใส่วาซาบิเล็กน้อย หรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลก็ได้ ซูชิแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด
2.)มากิซูชิ (Maki Sushi) มีวิธีทำ 3 แบบด้วยกัน (1) ม้วนข้าวไว้ด้านในสาหร่ายทะเลอยู่ด้านนอก (2) ม้วนสลับกับแบบแรกโดยที่สาหร่ายอยู่ด้านในส่วนข้าวอยู่ด้านนอก (3) ห่อเป็นรูปกรวย เรียกว่า แคลิฟอร์เนียเทมากิ
3.)ชิราชิซูชิ (Chirashi Sushi) เป็นการจัดปลาดิบ ปลาหมึก กุ้ง ผัก ฯลฯ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนข้าวที่ใส่อยู่ในกล่อง
4.)โอชิซูชิ (Oshi Sushi) หรือรูปแบบคันไซจากเมืองโอซาก้า เอาข้าวมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาวหั่นขนาดพอดีให้รับประทานเป็นคำๆ แล้ววางเนื้อปลาไว้ด้านบน
5.)อินะริซูชิ ซูชิที่นำเนื้อมาใส่ในเต้าหู้ที่มีลักษณะเป็นถุง
ราเม็ง (らーめん ramen)
     ราเม็ง เป็นบะหมี่น้ำของญี่ปุ่น ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน ราเม็งมักจะทานคู่กับ เนื้อหมู สาหร่าย คะมะโบะโกะ ต้นหอม และบางครั้งจะมีข้าวโพด ราเม็งมีการปรุงรสแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัดในญี่ปุ่น เช่นในเกาะคีวชู ต้นกำเนิดของทงโคสึราเม็ง (ราเม็งซุปกระดูกหมู) หรือในเกาะฮกไกโด ต้นกำเนิดของมิโซะราเม็ง (ราเม็งเต้าเจี้ยว)
        
 ประวัติ
     ในประวัติศาสตร์มีบันทึกไว้ว่า โตกุงะวะ มิสึคุนิ ได้รับประทานราเม็งในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงยุคเมจิ ที่มาของราเม็งเชื่อว่ามาจากประเทศจีน ถึงแม้ว่าไม่มีประวัติศาสตร์บันทึกไว้แน่ชัด สมมุติฐานหนึ่งคือคำว่า "ราเม็ง" มาจากภาษาจีน "ลาเมียน" (拉麺) ที่มีความหมายถึง เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใช้มือนวด หรือคำอื่นๆ ที่ออกเสียงใกล้กัน เช่น 拉麺 老麺 鹵麺 撈麵
ในยุคเมจิ ราเม็งถูกเรียกว่า "ชินะโซบะ" (支那そば) ซึ่งหมายถึงปาล์มราเม็ง โซบะจีน ต่อมาชาวจีนได้เริ่มมีการขายราเม็งตามรถเข็นพร้อมกับขายเกี๊ยวซ่าพร้อมกัน และมีการเป่าคะรุเมะระเพื่อเรียกลูกค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการอัดเป็นเทปเปิดแทน ราเม็งเริ่มเป็นที่นิยมในยุคโชวะ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แป้งราคาถูกจากสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาสู่ตลาดญี่ปุ่น และขณะเดียวกับที่ทหารญี่ปุ่นได้กลับมาจากการรบที่ประเทศจีน ทหารญี่ปุ่นได้คุ้นเคยกับอาหารจีนมาก่อนทำให้ราเม็งมีการขายได้ดียิ่งขึ้น
ซาชิมิ (刺身 sashimi)
    
     ซาชิมิ คือ การนำเนื้อดิบจากสัตว์ เช่น ปลาทะเลมาหั่นหรือแล่สดๆ แล้วรับประทานควบคู่กับเครื่องปรุงรสอย่าง โซยุ และ ทสึมะ (เครื่องเคียง) ต่างๆ เช่น วาซาบิ ขิงดอง หัวไชเท้าขูดเส้น และ ใบชิโสะ ปัจจุบันซาชิมิมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการหลักๆ 2 ชื่อ ซึ่งเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น คือ โอะซาชิมิแถบภูมิภาคคันโต และ โอะทสึคุริแถบภูมิภาคคันไซ
     ซาชิมิเป็นอาหารที่ถูกพัฒนามาจากอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อว่า นามะสึคือการนำปลาดิบมาสับให้ละเอียด รับประทานคู่กับน้ำส้มสายชูที่ผสมวาซาบิ และน้ำส้มสายชูผสมขิง แต่ซาชิมิได้เริ่มต้นเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยคามาคุระ (ปี ค.ศ.1185–1333) ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงอาหารในกลุ่มชาวประมงที่นำปลามาแล่เป็นชิ้นบางๆ แล้วรับประทานกันสดๆ ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยมุโรมาจิ (ปีค.ศ. 1336 – 1573) โชยุก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและใช้รับประทานคู่กับซาชิมิ แต่โชยุในสมัยก่อนถือเป็นของทีมีราคาสูง เมนูซาชิมิจึงเป็นอาหารชั้นสูงสำหรับผู้ที่มีฐานะเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่สมัยปลายเอโดะ (ปีค.ศ. 1603 – 1867) โชยุได้แพร่หลายไปสู่ชนชั้นชาวเมือง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซาชิมิเป็นที่นิยมรับประทานกันโดยทั่วไป จนทำให้เริ่มมีการเปิดร้านขายซาชิมิ หรือ เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่า ซาชิมิยะจวบจนทุกวันนี้
โซบะ(そば soba)
    
     โซบะ เป็นอาหารญี่ปุ่นที่ได้ความนิยมชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งบัควีท (ไม่ใช่แป้งสาลี) มีลักษณะเป็นเส้นยาว สีน้ำตาล นิยมรับประทานทั้งแบบเย็น จุ่มกับซอส และแบบร้อน ในน้ำซุป ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวิธีนำเส้นโซบะไปประกอบอาหารนั้นนอกจากนี้ ในประเทศญี่ปุ่นเอง ยังนิยมเรียกอาหารเส้น ที่เป็นเส้นขนาดเล็กว่า โซบะ อีกด้วย ซึ่งต่างจาก อุด้ง ซึ่งมีลักษณะเส้นหนา ทำจากแป้งสาลี โซบะถูกขายอยู่ในหลากหลายสถานที่ ตั้งแต่ในร้านอาหารจานด่วนราคาถูกตามสถานีรถไฟต่างๆ จนกระทั่งร้านอาหารหรูหราราคาแพง นอกจากนี้ เส้นโซบะยังมีขายแบบเส้นแห้ง และบะหมี่สำเร็จรูป ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย  ในประเทศไทย มักเรียกเส้นบะหมี่ฮกเกี้ยนซึ่งมีลักษณะเส้นใหญ่ หนา สีเหลืองว่า เส้นโซบะ เนื่องจากร้านอาหารในประเทศไทยนิยมนำบะหมี่ชนิดนี้มาผัด คล้ายอาหารญี่ปุ่นที่เรียกว่า ยากิโซบะ
ทาโกะยากิ (たこ焼き takoyaki)
    

   "ทาโกะยากิ" (Takoyaki) เป็นชื่อของอาหารญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง บางทีภาษาไทยก็เรียกกันว่า "ขนมครกญี่ปุ่น"  ทาโกะยากิมีต้นกำเนิดมาจากเมืองโอซาก้าประเทศญี่ปุ่น และเป็นอาหารยอดนิยมในแถบคันไซซึ่งหากดูตามรายการเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นเหมทาโกะยากิเป็นอาการที่ได้รับความนิยมในงานเทศกาลต่างๆ อย่างไรก็ตามตามร้านอาหารญี่ปุ่นก็มักจะมีเมนูทาโกะยากิเป็นอาหารทานเล่นเช่นกัน
     ลักษณะของทาโกะยากิ (โดยส่วนใหญ่) จะเป็นลูกกลมๆทอดจนเป็นสีน้ำตาลราดด้วยซอสและมายองเนสแล้วโรยหน้าด้วยผงสาหร่ายและแผ่นปลาแห้ง  ส่วนผสมของทาโกะยากินั้นจะประกอบด้วยน้ำแป้ง, ขิงดอง, แป้งทอด, หอมสับ , แล้วก็ที่ขาดไม่ได้คือหนวดปลาหมึกยักษ์ (Tako) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่อทาโกะยากินั่นเอง และอีกคำหนึ่งคือ "Yaki" ก็แสดงถึงวิธีทำก็คือการเอาส่วนผสมเหล่านี้ลงไปทอดในกระทะที่มีลักษณะเป็นหลุมนั่นเอง